ข้าวโพดหวาน ( Sweet Corn ) จัดเป็นพืชตระกูลหญ้า ( Family Grammineae ) ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ TRIBE MAYDEAE มีลักษณะเป็นพืชล้มลุกที่มีกาบใบหุ้มลำต้นและทำหน้าที่สังเคราะห์แสง ปัจจุบันได้มีการปรับแต่งทางพันธุกรรมใหม่ให้ใบมีลักษณะตั้งและมีขนเล็กขึ้นปกคลุมตลอดไป เพื่อให้มีความทนทานและสามารถดูดรับแสงแดดได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งก็เป็นผลดีกับชาวเกษตรกรที่จะได้มีข้าวโพดสายพันธุ์ดีเอาไว้เพาะปลูกกันต่อไป
ข้าวโพดหวานนิยมปลูกมากในทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยมีสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมจากชาวเกษตรกรมากในตอนนี้คือ ข้าวโพดหวานสายพันธุ์อินทรีย์2 เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนามาจากสายพันธุ์ SSWI 114 และ สายพันธุ์ KSei 14004 โดยสายพันธุ์นี้จะมีลักษณะเด่นตรงที่มีลำต้นสูงใหญ่ ฝักใหญ่ยาว มีสีเหลือง ทรงกระบอก ได้น้ำหนักดี มีเมล็ดเรียงสวยสม่ำเสมอ มีรสชาติหอมหวาน และนุ่มละมุนลิ้น หลังเก็บเกี่ยวสามารถคงความชุ่มชื้นไว้ได้นานประมาณ 2-3 วัน ซึ่งวิธีปลูกข้าวโพดหวานมีดังนี้
วิธีปลูกข้าวโพดหวาน
- ดิน เมื่อเกษตรกรเลือกพันธุ์ข้าวโพดที่จะปลูกได้แล้ว วิธีปลูกข้าวโพดหวานในขั้นตอนต่อไปคือ การเลือกพื้นที่ปลูกซึ่งควรเลือกปลูกในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ราบและมีระดับที่สม่ำเสมอ ควรเป็นดินร่วนหรือร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี เนื้อดินไม่แน่นจนเกินไปและยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ในดิน ในการเตรียมขุดหลุมควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 25 เซนติเมตรและระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 75 เซนติเมตร โดยในแต่ละหลุมให้หยอดเมล็ดพันธุ์ 2-3 เมล็ด จากนั้นจึงกลบดินปิด
- น้ำ เมื่อได้นำเมล็ดพันธุ์ลงปลูกแล้วควรรดน้ำตามในทันที ในช่วงแรกที่เริ่มปลูกควรให้น้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเช้า การให้น้ำควรระมัดระวังในเรื่องของน้ำท่วมขัง จากนั้นเมื่อต้นอ่อนเริ่มงอกและเริ่มติดให้รดน้ำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง หากปลูกในหน้าฝนควรรอให้ฝนตกก่อนแล้วจึงปลูกในขณะที่ดินชื้น และหากพบว่าข้าวโพดใบเริ่มงอม้วนหรือใบหงิกให้รีบลดน้ำทันทีเพราะนั่นคืออาการที่ข้าวโพดเริ่มขาดน้ำ ในช่วงก่อนที่จะมีการเก็บเกี่ยว 7 วัน ควรงดให้น้ำเพื่อให้สามารถสะสมน้ำตาลและแป้งได้อย่างเต็มที่จะช่วยให้มีรสชาติดีหวานมันอร่อย
- แสงแดด ข้าวโพดหวานเป็นพืชไร่ ดังนั้นจึงเป็นพืชที่ชื่นชอบแสงแดด หากได้รับแสงแดดในปริมาณที่เพียงพอจะทำให้ได้รับผลผลิตดีและจะช่วยให้ข้าวโพดหวานเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ชาวเกษตรกรคงไม่ต้องห่วงในเรื่องของแสงแดดเพราะพืชไร่โดยมากก็เป็นพืชที่ปลูกกันในไร่ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งแจ้งกันอยู่แล้ว ประกอบกับสภาพอากาศในบ้านเราก็มีแสงแดดตลอดอยู่แล้ว การปลูกข้าวโพดหวานจึงเหมาะสมอย่างมาก
-
- ในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่นำลงปลูกหากเป็นดินร่วนปนทรายให้ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ คือ 15-15-15 หากเป็นดินเหนียวจะเปลี่ยนเป็นใส่ปุ๋ยสูตร 16-20-0 ในปริมาณ 50 กิโลกรัม ต่อ 1 ไร่
- เมื่ออายุครบ 1 เดือน ให้เกษตรกรใส่ปุ๋ยซ้ำอีกครั้ง โดยใช้สูตร 21-0-0 ในปริมาณ 50 กิโลกรัม ต่อ 1 ไร่ ถ้าหากปลูกในพื้นที่ที่เป็นดินทรายให้เพิ่มปริมาณเป็น 80 กิโลกรัม ต่อ 1 ไร่
- เมื่อครบ 45 วัน ให้ใส่ปุ๋ยอีกครั้ง โดยใช้สูตรเดียวกันกับครั้งที่ 2 ในปริมาณที่เท่าๆกัน
โรคและศัตรูพืชที่มักพบในข้าวโพดหวาน
เมื่อได้รู้ถึงวิธีปลูกข้าวโพดหวานไปแล้ว ทีนี้เราก็จะมาพูดกันถึงปัญหาที่คอยรบกวนแปลงข้าวโพดหวานก็คือ โรคเชื้อราน้ำค้าง มีลักษณะเป็นใบด่างๆจุดสามารถแก้ได้โดยการฉีดสารเคมีป้องกันเมล็ดก่อนที่จะนำไปปลูก ซึ่งสารเคมีที่ใช้ฉีดนิยมใช้ เอพรอน35 เอสดี นอกจากนี้ก็อาจจะมีศัตรูพืชอื่นๆแทรกมาด้วย เช่น โรคหนอนเจาะลำต้น , โรคเพลี้ยอ่อนข้าวโพด , มอดดิน ฯลฯ ซึ่งสามารถแก้ไขโดยการใช้สารเคมีฉีดทำลาย เช่น สารไซเพอร์เมทริน , สารฟลูเฟนนอกซูเรน , สารคาร์บาริล , สารอิมิดาโคลพริด ฯลฯ
จากนั้นเมื่อสังเกตเห็นว่าข้าวโพดหวานเริ่มออกไหมได้ประมาณ 20 วันหรือเริ่มสังเกตเห็นว่าข้าวโพดมีสีดำ นั่นหมายถึงเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวฝักข้าวโพดมากที่สุดและเป็นช่วงเวลาที่ข้าวโพดจะให้ผลผลิตได้ดีที่สุด จึงต้องรีบเก็บเกี่ยวในช่วงนั้นให้ทัน
วิธีปลูกข้าวโพดหวานเกษตรกรจำเป็นจะต้องอาศัยความเข้าใจและหมั่นคอยสังเกตในรายละเอียดต่างๆอยู่เสมอ เมื่อเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงหรือมีความผิดปกติใดๆควรรีบแก้ไขเพื่อที่จะได้ไม่ลุกลามข้ามไปยังแปลงอื่นๆ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายลุกลามมากกว่าที่ควรจะเป็นได้